วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การคำนวณหาประสิทธิภาพเครื่องปรับอากาศ หรือค่า EER

EER หรือค่า Energy Effective Ratio เป็นค่าบ่งบอกอัตราส่วนของเครื่องปรับอากาศ เป็นค่าที่เป็นค่าหลักที่ใช้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงาน กับ ค่าไฟ โดยสรุปแล้ว ค่า EER นั้นคือค่าอัตราส่วนของความเย็นที่แอร์ทำได้จริง หารด้วย กำลังไฟฟ้าที่เครื่องปรับอากาศใช้ โดยมีสมการดังนี้  EER = Output / Input = Btu/hr  /  Watt โดย ตัวเศษ คือ ค่าความเย็นที่เครื่องปรับอากาศสามารถทำได้จริง มีหน่วยเป็น Btu/hr และ ตัวส่วน คือ ค่ากำลังไฟฟ้าที่เครื่องปรับอากาศใช้ในการทำความเย็น มีหน่วยเป็น Watt ซึ่งค่า EER เป็นเกณท์ในการตัดสินฉลากพลังงาน อีกด้วย




ค่า COP หรือค่า Coefficient of Performance (COP)
มีการหาโดยใช้สูตร COP = EER / 3.142 หรือ kW/TR = 12 / EER


 ปี 2548 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้กำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ (Minimum Energy Performance Standard (MEPS) โดยกำหนดให้เครื่องปรับอากาศสำหรับห้องขนาดไม่เกิน 8,000 และ 12,000 วัตต์ มีอัตราส่วน ประสิทธิภาพพลังงานไม่น้อยกว่า 2.82 และ 2.53 (9.6 และ 8.6 BTU/hr/W) ตามลำดับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่มีนาคม 2548 ดังนั้นเครื่อง ปรับอากาศในขอบข่ายดังกล่าวจะต้องผ่านมอก. 2134-2545 จึงจะสามารถผลิตและนำเข้าเพื่อจำหน่ายภายในประเทศได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาและประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น กฟผ. จึงได้ปรับเกณฑ์ประสิทธิภาพเบอร์ 5จากเดิม ค่าประสิทธิภาพพลังงาน EER 10.6 เป็น EER 11 ซึ่งสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ ร้อยละ 5 โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ มกราคม 2549 เป็นต้นมา  


















การตรวจวัดค่า EER และ COP ของเครื่องปรับอากาศนั้นจะทำได้ยากมาก หากเครื่องปรับอากาศมีอายุต่ำกว่า 8 ปี เพราะจะไม่มีฉลากประหยัดไฟติด ซึ่งแอร์ที่มีอายุการใช้งานนานขนาดนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ต่อ เพราะค่าความเย็นที่ให้จะลดต่ำลง ในขณะที่การใช้ไฟฟ้านั้นเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นก่อนซื้อแอร์ทุกครั้งควรมีการวัดค่า EER ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อความคุ้มค่า ในการใช้งานระยะยาวในอนาคตนะครับ


## อ้างอิงจากกระทรวงพลังงาน ##

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น