EER หรือค่า Energy Effective Ratio เป็นค่าบ่งบอกอัตราส่วนของเครื่องปรับอากาศ
เป็นค่าที่เป็นค่าหลักที่ใช้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงาน กับ ค่าไฟ โดยสรุปแล้ว
ค่า EER นั้นคือค่าอัตราส่วนของความเย็นที่แอร์ทำได้จริง
หารด้วย กำลังไฟฟ้าที่เครื่องปรับอากาศใช้ โดยมีสมการดังนี้ EER = Output / Input = Btu/hr / Watt
โดย ตัวเศษ คือ ค่าความเย็นที่เครื่องปรับอากาศสามารถทำได้จริง
มีหน่วยเป็น Btu/hr และ ตัวส่วน คือ
ค่ากำลังไฟฟ้าที่เครื่องปรับอากาศใช้ในการทำความเย็น มีหน่วยเป็น Watt ซึ่งค่า
EER เป็นเกณท์ในการตัดสินฉลากพลังงาน อีกด้วย
ค่า COP หรือค่า
Coefficient of Performance (COP)
มีการหาโดยใช้สูตร COP = EER /
3.142 หรือ kW/TR = 12 / EER
ปี 2548
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)
ได้กำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ (Minimum Energy Performance
Standard (MEPS) โดยกำหนดให้เครื่องปรับอากาศสำหรับห้องขนาดไม่เกิน
8,000 และ 12,000
วัตต์ มีอัตราส่วน ประสิทธิภาพพลังงานไม่น้อยกว่า 2.82
และ 2.53 (9.6 และ 8.6 BTU/hr/W) ตามลำดับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่มีนาคม
2548 ดังนั้นเครื่อง
ปรับอากาศในขอบข่ายดังกล่าวจะต้องผ่านมอก. 2134-2545
จึงจะสามารถผลิตและนำเข้าเพื่อจำหน่ายภายในประเทศได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาและประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น
กฟผ. จึงได้ปรับเกณฑ์ประสิทธิภาพเบอร์ 5จากเดิม ค่าประสิทธิภาพพลังงาน EER
10.6 เป็น EER 11 ซึ่งสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ
ร้อยละ 5 โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ มกราคม 2549
เป็นต้นมา
การตรวจวัดค่า EER และ
COP ของเครื่องปรับอากาศนั้นจะทำได้ยากมาก
หากเครื่องปรับอากาศมีอายุต่ำกว่า 8 ปี เพราะจะไม่มีฉลากประหยัดไฟติด
ซึ่งแอร์ที่มีอายุการใช้งานนานขนาดนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ต่อ
เพราะค่าความเย็นที่ให้จะลดต่ำลง ในขณะที่การใช้ไฟฟ้านั้นเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นก่อนซื้อแอร์ทุกครั้งควรมีการวัดค่า EER ให้เรียบร้อยก่อน
เพื่อความคุ้มค่า ในการใช้งานระยะยาวในอนาคตนะครับ
## อ้างอิงจากกระทรวงพลังงาน
##
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น